เป็นลม (Faint) คือ
อาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะและเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้หมดสติไปในระยะเวลาสั้น
ๆ สาเหตุที่พบได้บ่อยเนื่องจากระดับความดันในเลือดต่ำ
หรือเป็นผลมาจากปัญหาสุขภาพในส่วนอื่น ๆ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ โรคโลหิตจาง
โรคเบาหวาน ความเครียด ความกลัว ความวิตกกังวลสูง การขาดออกซิเจน
การเปลี่ยนอิริยาบถจากนอนเป็นนั่ง จากนั่งเป็นยืนเร็วเกินไป
ผู้ที่เป็นลมส่วนใหญ่จะฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้ในเวลาไม่นานหลังจากได้นอนราบลงไป
เป็นลมเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่ควรไปพบแพทย์หากสงสัยว่าการเป็นลมอาจเป็นอาการเตือนของโรคอื่น
ๆ
อาการเป็นลม
เป็นลม
เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งตอนนั่ง ยืน
หรือแม้แต่ตอนที่ลุกขึ้นหรือเปลี่ยนท่าเร็วเกินไป
ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกอ่อนแรงก่อนจะหมดสติ
ในบางรายอาจพบอาการเตือนก่อนเป็นลมในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที
โดยจะพบอาการต่อไปนี้
1.หาว
2.วิงเวียน ปวดศีรษะ หรือมีอาการบ้านหมุน
3.หน้าซีด อ่อนแรง เหงื่อออกมาก
4.สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด
หรือมองเห็นจุดสีดำหรือสีเทา
5.หูอื้อ หรือรู้สึกมีเสียงในหู
6.หายใจสั้นและหายใจเร็ว
7.รู้สึกคลื่นไส้หรืออาเจียน
8.รู้สึกชาที่ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
หลังจากรู้สึกตัวหรือฟื้นจากการเป็นลมมักจะรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนแรงประมาณ
30 นาที
รวมถึงอาจไม่สามารถจำเหตุการณ์ในช่วงก่อนเป็นลมได้
ควรไปพบแพทย์หากพบว่าเป็นลมในช่วงระหว่างการออกกำลังกาย หรือมีอาการหัวใจสั่น
หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วผิดปกติ หรือมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นลมหรือเสียชีวิตกะทันหัน
การเป็นลมอาจเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ หากพบผู้ที่เป็นลมเกิน 2 นาที ควรโทรเรียกรถพยาบาลด่วน
อาการเป็นลมอาจมีลักษณะที่คล้ายกับอาการของโรคหลอดเลือดในสมองที่เกิดขึ้นจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
ควรรีบโทรเรียกรถพยาบาลด่วน หากพบผู้ที่มีลักษณะหรืออาการดังต่อไปนี้
หน้าเบี้ยว หนังตาตก
ไม่สามารถยิ้มหรือขยับปากได้ปกติ
ไม่สามารถยกแขนข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง
2 ข้างได้ เนื่องจากมีอาการชาหรืออ่อนแรง
ไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน
หรือพูดจาอ้อแอ้
สาเหตุของอาการเป็นลม
เป็นลม
สาเหตุมีหลายประเภทและสาเหตุยังไม่แน่ชัด อาจมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นลมได้
เช่น ความดันในเลือดที่ลดต่ำลง ความเครียด ความกลัว ความหิว ความร้อน
การยืนในท่าเดิมเป็นเวลานาน ลุกขึ้นเร็วเกินไป ไออย่างรุนแรง โรค หรือเป็นผลมาจากการดื่มแอลกอฮอล์หรือการใช้สารเสพติด
อาการเป็นลมที่พบได้โดยทั่วไปแบ่งได้หลายประเภท แต่ที่พบบ่อย คือ
Vasovagal
Syncope หรือเป็นลมธรรมดา
อาจมีการเกร็งร่วมด้วยในบางราย มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีร่างกายหรือจิตใจที่อ่อนแอ
ผู้ที่มีความเครียดสูง ผู้ที่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน
รวมถึงผู้ที่เป็นลมเพราะเห็นเลือดหรือเห็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
Carotid
Sinus Syncope เป็นผลมาจากหลอดเลือดแดงในลำคอตีบ
มักเกิดขึ้นหลังจากมีการหันศีรษะไปทางใดทางหนึ่งนานเกินไป การนวด
หรือการใส่เสื้อคอปกที่มีการรัดแน่นบริเวณลำคอมากเกินไป
Situational
Syncope เกิดจากการกระตุ้นของสถานการณ์บางอย่าง
เช่น การไอ การจาม การบิดเอว การปัสสาวะหรืออุจจาระ
หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
นอกจากนี้ รวมไปถึงปัจจัยอื่น ๆ
ที่อาจเป็นสาเหตุของการเป็นลม ได้แก่
ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่าทาง (Orthostatic Hypotension) จะเกิดขึ้นเมื่อเวลานั่งหรือนอนเป็นเวลานานแล้วลุกขึ้นยืนทันที
เพราะความดันในเลือดลดต่ำลงและทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงสมองมีปริมาณไม่เพียงพอ
หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในภาวะขาดน้ำ
ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทในการรักษาระดับความดันในเลือดให้เป็นปกติ
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ปัสสาวะบ่อยจึงเป็นเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำ
ผู้ที่ใช้ยารักษาอาการซึมเศร้า (Antidepressant
Drugs) หรือการใช้ยารักษาความดันโลหิตสูง
รวมถึงผู้ป่วยโรคพาร์กินสันหรือผู้ที่มีเงื่อนไขทางระบบประสาท
ปัญหาของหัวใจ (Cardiac Syncope) ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดที่จะไปเลี้ยงสมองและทำให้เป็นลมได้
ความเสี่ยงหลักคืออายุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่
มีประวัติการหัวใจวาย มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของหัวใจ ผนังห้องหัวใจอ่อนแอ (Ventricular Dysfunction) หลอดเลือดหัวใจตีบแคบหรืออุดตัน
อาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ
สมองขาดออกซิเจนเฉียบพลัน (Reflex Anoxic Seizures) มักพบมากในเด็กเล็ก
เป็นผลมาจากอัตราการเต้นหัวใจที่ลดลง และอาจหยุดเต้นไปประมาณ 5-30 วินาที
เด็กจะอ้าปากเหมือนตอนร้องไห้ แต่ไม่มีเสียงออกมาก่อนที่จะตัวซีด
อาจมีอาการตัวแข็งทื่อหรือตัวอ่อนปวกเปียก ตาเหลือกและเป็นลมหมดสติไป
รวมถึงมีอาการชักร่วมด้วยประมาณ 1
นาที
หลังจากนั้นเด็กจะฟื้นและมีอาการเป็นปกติ
อาการนี้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็กแต่จะอาจทำให้คนที่พบเห็นตกใจได้ โดยปกติอาการจะดีขึ้นหรือหายไปเมื่อเด็กมีอายุ
4-5 ปี
โรคหอบจากอารมณ์หรือภาวะหายใจเกิน (Hyperventilation Syndrome) เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนองต่ออารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
เช่น ความเครียด ความกลัว ความวิตกกังวล ด้วยการหายใจเอาออกซิเจนเข้าและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากร่างกายเร็วเกินไป
การวินิจฉัยอาการเป็นลม
ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปกติทั่วไปหากเป็นลมในครั้งแรก
อาจยังไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ แต่ผู้ที่เคยมีประวัติการเป็นลม หรือเป็นลมบ่อยครั้ง
ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยปัญหาหรือสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นลม
โดยแพทย์มีแนวทางในการวินิจฉัยโดยตรวจร่างกาย สอบถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์
ประวัติการใช้ยา สอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงที่เป็นลม เช่น
ทำอะไรอยู่ก่อนที่จะเป็นลม มีความรู้สึกอย่างไรก่อนที่จะเป็นลม
หรืออาจตรวจเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
การตรวจเลือด
เพื่อหาสมดุลของสารเคมีในร่างกายและโรคโลหิตจาง
การตรวจระบบประสาท
เช่น การตรวจศีรษะด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
(MRI) หรือการตรวจคลื่นสมอง (Electroencephalogram:
EEG)
การตรวจหัวใจ เช่น
การตรวจด้วยเตียงปรับระดับ (Tilt Table Test) การตรวจบันทึกการทำงานของหัวใจ
24 ชั่วโมง (Holter Monitor) การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเสียงสะท้อนความถี่สูง
(Echocardiogram)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
(Electrocardiogram:
ECG)
การรักษาอาการเป็นลม
เป็นลม
รักษาได้ตามการวินิจฉัยของแพทย์ ขึ้นอยู่กับสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้เป็นลม
และความถี่ที่เกิดอาการ เช่น การเป็นลมที่ไม่ได้มีอาการบ่อยและไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ
อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อรักษาสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้เป็นลม
อาจต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจในผู้ที่เป็นลมจากสาเหตุของจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
หรือใส่อุปกรณ์เสริมเพื่อปรับความดันโลหิต
รวมทั้งแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูงเพื่อป้องกันภาวะความดันในเลือดต่ำ
วิธีการปฎิบัติตัวหรือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อพบเห็นคนเป็นลม
หากพบว่ายังหายใจอยู่
ควรจัดคนเป็นลมให้อยู่ในท่านอนและยกขาขึ้นให้อยู่ในระดับที่สูงกว่าหัวใจประมาณ 30 เซนติเมตร
เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมอง แล้วหันศีรษะไปด้านข้าง
เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ้นบังทางเดินหายใจ รวมถึงปลดเข็มขัด กระดุม ปกเสื้อ
หรือเสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นลมซ้ำอีกครั้ง
และไม่ควรให้รีบลุกขึ้น
หากพบว่าหยุดหายใจ
ควรทำปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary Resuscitation: CPR) จนกว่าจะหายใจหรือกลับมามีสติอีกครั้ง
หรือโทรเรียกรถพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ทั้ง 3 หมายเลข
คือ 1669
(ศูนย์นเรนทร) 1691 (ศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาลกรมตำรวจ)
หรือ 1554
(หน่วยกู้ชีพ
กรุงเทพมหานคร)
ภาวะแทรกซ้อนของอาการเป็นลม
ผู้ที่เป็นลมจะไม่รู้สึกตัว
และอาจจะจำเหตุการณ์ในช่วงก่อนการเป็นลมไม่ได้ เป็นลมมักเกิดขึ้นพร้อมอาการหมดสติ
บางรายถ้ายืนอยู่อาจล้มลงไปที่พื้น ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ร่างกาย
อาจทำให้เนื้อเยื่อ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก
หรือศีรษะได้รับการกระแทกจนเกิดความเสียหาย รวมไปถึงความสามารถในการเคลื่อนไหว
การเดิน การวิ่ง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
การป้องกันอาการเป็นลม
การเป็นลม ป้องกันได้
หากรู้ถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เป็นลม
หรือปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดซ้ำ เช่น
ถ้าเป็นลมจากความหิว
ควรรับประทานอาหารตามเวลาปกติ ไม่ควรอดอาหาร
หากเคยมีประวัติเป็นลมเพราะเห็นเลือด
ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการเจาะเลือด หรือตรวจเลือด
ไม่ควรรีบเปลี่ยนอิริยาบถ
เช่น จากนอนเป็นนั่ง หรือจากนั่งเป็นลุกขึ้นยืน
หากรู้สึกว่าจะเป็นลมหรือพบว่ามีอาการเตือนก่อนเป็นลมควรนั่งหรือนอนพัก
พยายามกำหนดลมหายใจให้สม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบจากอารมณ์หรือภาวะหายใจเกิน
ที่มีสาเหตุมาจากความเครียดหรือความกลัว
ผู้ที่เป็นลมโดยมีสาเหตุมาจากปัญหาของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ
ควรรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง และดื่มน้ำมาก ๆ
เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและรักษาระดับความดันโลหิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น